Industrial Estate Authority of mahachaicityThailand เมืองอุตสาหกรรม มหาชัย ประเทศไทย MAHACHAI INDUSTRIAL CITY

ดร.สมัย เหมมั่น  

 MAHACHAI INDUSTRIAL CITY

จุดเด่นของโครงการ
1.เสนอขายราคา ทุ่น ต่ำ 7,500- บาท / ตรว.
2.พื้นที่ก่อสร้าง เป็นพื้นที่ ประชาพิจารเป็น สีม่วง และนอกเขตควบคุมการก่อสร้างของเทศบาล ท่าจีน
3.โครงการ อยู่เจริญอุตสาหกรรม ท่าจีน มีนโยบายการส่งเสริมการลงทุน ขอจัดตั้งเป็นเขต นิคมอุสาหกรรม ภาคเอกชน
4.ทำเลที่ตั้ง สะดวก ต่อการ ตั้งโรงงาน สิ่งแวดล้อมโรงงาน  มีแรงงานจำนวนมาก เดินทางสะดวกในการทำงาน
จุดด้อย ของโครงการ
1.เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ ดินเค็มนาเกลือและบ่อดิน
2.ความไม่แน่นอของ แผนที่ผังเมือง ว่าจะกำหนดผังเมือง สีเขียวหรือสีม่วง
3.การอนุญาตการก่อสร้างโรงงานไม่แน่นอนแพราะกฎหมายผังเมืองไม่แน่นอน
4.พื้นที่โดยรอบ ยังไม่มีความเจริญ ด้านที่อยู่อาศัน

โอกาสที่จะได้
1.กฎหมายผังเมืองไม่แน่นอนและเปิดโอการให้เจ้าของโครงการ ทำธุรกิจที่นอกกฎหทาย
2.ราคาที่ดินคิดว่าราคาที่ดินประหยัด ในราคาซื้อและพัฒนา แบบนิคม ที่ดินจะประเมินแยยเดิมๆ
3.หน่วงาน อบต.ให้การสนับสนุ่นทีกรูปแบบ
4..ทีมงานของ ดร.สมัย เหมมั่น มีกลุ่มคนงานลุมลึกได้


นิคมอุตสาหกรรม เมืองมหาชัย ประเทศไทย Industrial Estate Authority of mahachaicityThailand นิคมอุตสาหกรรม เมืองมหาชัย ประเทศไทย 1 (อยู่เจริญ - ท่าจีน) ติดต่อ maikub01@yahoo.com
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559
                   นโยบาย มุ่งมั่นสู่ความเป็นผู้นำด้าน นิคมอุตสาหกรรม เมืองมหาชัย ประเทศไทย
 โครงการ อยู่เจริญ อุตสาหกรรม- (พระราม2-ท่าจีน ) ประกาศ ให้ทราบทั่วกัน ในการให้บริการ-การขาย ยุค AEC

                                          


                                           โครงการ อยู่เจริญ อุตสาหกรรม
                                   (พระราม2-ท่าจีน ) 

                                MAHACHAI INDUSTRIAL CITY
                                           


                                   Industrial Estate Authority 
                                     of mahachaicityThailand
 


        
                                                            
                    นิคมอุตสาหกรรม เมืองมหาชัย ประเทศไทย
                                                  
                

                                                 ประกาศ ให้ทราบทั่วกัน 

           ในการให้บริการ-การขาย มอบหมายและมอบอำนาจ ในการบริหารและการขายโครงการ ให้กับ กลุ่ม การบริหาร D-HOUSE GROUP  -เพื่อ ดำเนินการบริหารการก่อสร้าง-การบริหารการขายและการบริหารการตลาด เพื่อให้โครงการได้ดำเนินการอย่างมั่งคลั่งมีหลักวิชาการตลอดจนสอดคล้องกับ การตลาดยุคปัจจุบัน การบริหารการค้าที่ยั่งยืนและมีธรรมาภิบาล ทันสมัยทันเหตุการณ์ เป็นการค้าและการบริการแบบยั่งยืน โดยมี คณะบริหาร ดังนี้  

                                    

                            Mr. Yanghee ประธานกรรมการ




นโยบาย
มุ่งมั่นสู่ความเป็นผู้นำด้าน 
นิคมอุตสาหกรรม 

















               Industrial Estate Authority of mahachaicityThailand 

                       
                         Industrial Estate Authority of mahachaicityThailand 
                                       นิคมอุตสาหกรรม เมืองมหาชัย ประเทศไทย 1 (อยู่เจริญ - ท่าจีน)

          Industrial Estate Authority of mahachaicityThailand 





              Industrial Estate Authority of mahachaicity Thailand 


             
              Industrial Estate Authority of mahachaicityThailand 



โครงการ อยู่เจริญ-ท่าจีน ได้มอบให้ กลุ่ม D-HOUSE GROUP THAILAND ดำเนินการบริหารจัดการ ทุกประการ โดย ประธาน Mr.Yanghee และ Dr.samai hemman CEO
โครงการ อยู่เจริญ อุตสาหกรรม- (พระราม2-ท่าจีน ) ประกาศ ให้ทราบทั่วกัน ในการให้บริการ-การขาย ยุค AEC
                        Industrial Estate Authority 
                         of mahachaicityThailand 
                          อุตสาหกรรม เมืองมหาชัย ประเทศไทย
                

                                                ประกาศ ให้ทราบทั่วกัน 

           ในการให้บริการ-การขาย มอบหมายและมอบอำนาจ ในการบริหารและการขายโครงการ ให้กับ กลุ่ม การบริหาร D-HOUSE GROUP  -เพื่อ ดำเนินการบริหารการก่อสร้าง-การบริหารการขายและการบริหารการตลาด เพื่อให้โครงการได้ดำเนินการอย่างมั่งคลั่งมีหลักวิชาการตลอดจนสอดคล้องกับ การตลาดยุคปัจจุบัน การบริหารการค้าที่ยั่งยืนและมีธรรมาภิบาล ทันสมัยทันเหตุการณ์ เป็นการค้าและการบริการแบบยั่งยืน โดยมี คณะบริหาร ดังนี้  

                                   
ประธานกรรมการ

                                              Dr.Samai Hemman

                                                         CEO 


 MAHACHAI INDUSTRIAL CITY

        
นโยบาย มุ่งมั่นสู่ความเป็นผู้นำด้าน 
                นิคมอุตสาหกรรม 

                                                       โครงการ อยู่เจริญ-ท่าจีน ได้ มอบให้กลุ่ม
 D-HOUSE GROUP THAILAND ดำเนินการบริหารจัดการ ทุกประการ โดย ประธาน Mr.Yanghee และ Dr.samai hemman CEOโครงการ อยู่เจริญ อุตสาหกรรม-
 (พระราม2-ท่าจีน )    ประกาศ ให้ทราบทั่วกัน     ในการให้บริการ-การขาย ยุค AEC



วิธีการ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม
Industrial Estate Establishment 

 MAHACHAI INDUSTRIAL CITY
นิคมอุตสาหกรรม เมืองมหาชัย ประเทศไทย (อยู่เจริญ - ท่าจีน)



การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม

การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม
Industrial Estate Establishment

นายอภิชาติ เสกธีระ
นักศึกษาโครงการภาคพิเศษ หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการตรวจสอบและกฎหมายวิศวกรรม civil2915ieat @gmail.com

บทคัดย่อ
การ จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และการบริหารจัดการ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง รูปแบบที่ 2 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมดำเนินงานกับเอกชน โดยการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ตลอดจนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอุตสาหกรรม ภายใต้การอนุมัติ /อนุญาต /กำกับดูแล และการบริการในนิคมอุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามข้อบังคับของการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย (กนอ.)

Abstract
Establishing and managing of the Industrial Estate Authority of Thailand (“IEAT”) are divided into 2 categories. The first category is operated by IEAT and the second category is jointly operated by IEAT and private companies, in which to provide the facilities, utilities including environmental management and all other necessities for the operation of industry. All approval, permission, supervision and services in the Industrial Estate must be in accordance with the IEAT’s Regulations.

คำสำคัญ: การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.), นิคมอุตสาหกรรม

1.
บทนำ
การ ที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะรวมโรงงานที่กระจัดกระจายให้มาอยู่รวมกัน จึงจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2524ขึ้น โดยให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดตั้งและพัฒนานิคมอุตสาหกรรม หลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม (Developer) จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญและมีส่วนร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมฯในการพัฒนา อุตสาหกรรมในประเทศให้เจริญเติบโตสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนสนองนโยบายของรัฐบาลในการกระจายอุตสาหกรรมไปสู่ส่วนภูมิภาคอย่างมี ระบบในรูปแบบของ นิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานซึ่งจะเป็นยุทธฐานในการผลิต ซึ่งพร้อมด้วยปัจจัยการผลิตการค้า และให้บริการ ที่มีการจัดระเบียบ การกำกับ ดูแลที่จะผสมผสานและสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม อย่างมีดุลยภาพ
ใน บทความนี้ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลความรู้เบื้องต้นของการจัดตั้งนิคม อุตสาหกรรม เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษา และแนวทางความรู้ในการดำเนินการขออนุญาตให้ตรงตามวัตถุประสงค์ต่อไป

2.
การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม
2.1
รูปแบบการจัดตั้ง และการบริหารจัดการนิคม แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ
รูปแบบที่ 1 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) ดำเนินการเอง
-
กนอ. ต้องจัดหาและพัฒนาที่ดิน พร้อมให้บริการระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในนิคม
-
กนอ. มีหน้าที่ให้การอนุมัติ/ อนุญาต ผู้ประกอบกิจการ ในนิคมอุตสาหกรรม
-
กนอ. มีหน้าที่กำกับดูแล และสนับสนุนการประกอบอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมาย และไม่เป็นอันตราย ต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
วิธีดำเนินการ
-
จัดหาที่ดิน
-
พัฒนาที่ดิน โดยจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวย ความสะดวกที่ได้มาตรฐาน
-
ประกาศเขตนิคมอุตสาหกรรม และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
-
จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA)
-
จัดทำและอนุมัติผังแม่บทนิคมอุตสาหกรรม
-
จัดทำแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค/ สาธารณูปการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
-
จัดทำและอนุมัติผังจัดสรรที่ดินกำหนดราคาขาย หรือให้เช่าพื้นที่, ค่าบริการสาธารณูปโภค และบริการอื่นๆ

รูปแบบที่ 2 กนอ. ร่วมงานกับเอกชน
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
-
ประเภทที่ 1 ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้พัฒนาที่ดิน พร้อมระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นๆ
-
ประเภทที่ 2 ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้พัฒนาที่ดิน พร้อมระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และ กนอ. เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นๆ

วิธีดำเนินการ ของเอกชน
1.
จัดหาที่ดิน
2.
พัฒนาที่ดิน โดยจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในนิคม
3.
โอนกรรมสิทธิ์ระบบสาธารณูปโภคให้ กนอ.
4.
จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
5.
จัดทำผังแม่บทนิคมอุตสาหกรรม
6.
จัดทำแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สารธรณูปการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
7.
จัดทำผังจัดสรรที่ดิน
8.
กำหนดค่าขาย/ให้เช่าพื้นที่โครงการ
9.
กำหนดค่าให้บริการ และบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกของนิคมอุตสาหกรรม

วิธีดำเนินการ ของ กนอ.
1.
กำกับดูแล และให้ความเห็นชอบการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในนิคม
2.
ประกาศเขตนิคมอุตสาหกรรม
3.
อนุมัติผังแม่บทนิคมอุตสาหกรรม
4.
อนุมัติแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
5.
อนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน
6.
มีอำนาจบริหารและดำเนินการตาม พรบ. กนอ.
7.
กำกับดูแลการให้บริการระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
8.
บริหาร ให้บริการ และบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของนิคมอุตสาหกรรม

2.2
การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน
กน อ. ส่งเสริม และสนับสนุนให้เอกชนหรือองค์กรของรัฐเป็นผู้ลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วม ดำเนินงานกับ กนอ. โดยการจัดให้มีบริการระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ตลอดจนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่จำเป็นต่อการประกอบอุตสาหกรรม ภายใต้การอนุมัติ อนุญาต และกำกับดูแลของ กนอ.

ขั้นตอนการดำเนินการ
1.
ภาคเอกชนที่สนใจและมีความประสงค์จะเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วม ดำเนินงาน ยื่นแบบคำขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพร้อมเอกสารประกอบ ได้ที่ กนอ.
2.
กนอ.พิจารณาความเหมะสมเบื้องต้นแล้วแจ้งผลการพิจารณาให้เอกชนทราบ กรณีพื้นที่มีความเหมาะสม กนอ.จะประสานภาคเอกชนเพื่อกำหนดวันสำรวจพื้นที่
3.
กนอ.สำรวจพื้นที่โครงการ หากพื้นที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ฯ กนอ. จะสรุปผลเสนอคณะกรรมการ กนอ. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรม


รูปที่1 แผนผังแสดงขั้นตอนการขออนุญาต

4. ในกรณีที่คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ การนิคมอุตสาหกรรมฯ แจ้งผลพิจารณา พร้อมประสานภาคเอกชนหรือส่วนราชการเพื่อจัดทำสัญญาร่วมดำเนินงาน โดยมีรูปแบบการร่วมดำเนินงาน ดังนี้
5.
ในระหว่างดำเนินการขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ผู้พัฒนาจะต้องดำเนินการ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ ส่งให้กองสิ่งแวดล้อมและพลังงานฝ่ายสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยเพื่อนำส่งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรฯ พิจารณาด้วย
6. ภายหลังการลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงานกับ กนอ. แล้ว กนอ. จะดำเนินการประกาศเขตนิคมอุตสาหกรรมเรื่องการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป และในกรณีจัดตั้งเป็นเขตประกอบการเสรีจะกำหนดเขตฯ โดยออกเป็นประกาศคณะกรรมการ กนอ.

2.3 หลักเกณฑ์และวิธีพิจารณา-คำขอจัดตั้งนิคมฯ
กรณีนิคมฯ ร่วมดำเนินงาน ของภาคเอกชนร่วมกับ กนอ.
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณา
1.
พื้นที่ ต้องไม่ขัดต่อนโยบายการใช้ที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม และกฎหมายอื่นๆ เช่น พรบ. ผังเมือง, ไม่เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ, หรือไม่อยู่ในเขตห้ามประกอบกิจการโรงงานทุกประเภท
2.
เมื่อผ่านข้อ 1 แล้ว กนอ. จะพิจารณาความเป็นไปได้โครงการด้านต่างๆ คือ ด้านการเงิน, ด้านมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมฯ ต้องเป็นไปตามข้อบังคับ กนอ.

2.4
การพัฒนาของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
-
ปัจจุบัน กนอ. มีนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 39 นิคม กระจายอยู่ใน 14 จังหวัด
-
นิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการเอง จำนวน 11 นิคม
-
นิคมอุตสาหกรรมที่ร่วมดำเนินงานกับผู้พัฒนา จำนวน 28 นิคม

3.
บทสรุป
กน อ. ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลการดำเนินงานของ กนอ. พัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ในปัจจุบันการแข่งขันทางเศรษฐกิจมีความเข้มข้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การร่วมดำเนินงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมนั้นเป็นตัวแรกที่สำคัญแห่งการนำนิคมอุตสาหกรรม เข้าสู่เวทีการค้าระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งบทความดังกล่าวข้างต้น จะทำให้ทราบถึงขั้นตอนวิธีการในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นแนวทางในการจัดเตรียมข้อมูล โดยสังเขป

กิตติกรรมประกาศ
ผู้เขียนใคร่ขอขอบคุณ คณะผู้จัดทำเว็บไซต์การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยhttp://www.ieat.go.th/ และคู่มือการขออนุญาต สำหรับผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม/ และขอขอบพระคุณ คณาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ให้ความรู้และข้อมูล
นิคมอุตสาหกรรมจึงทำ ให้เกิดบทความ ความรู้เบื้องต้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ขั้นตอนการขออนุญาต

เอกสารอ้างอิง
[1]
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2552
[2]
คู่มือการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม
[3]
คู่มือการขออนุญาต/อนุมัติ สำหรับผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม
[4]
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย http://www.ieat.go.th/


กฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม
.๒๕๔๘[๑]
                  

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา  และมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย .๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ   ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่  (.๒๕๓๙ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย .๒๕๒๒

ข้อ   นิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งต้องจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการที่จำเป็นตามความเหมาะสมกับลักษณะและขนาดของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละประเภท ดังต่อไปนี้
(ระบบถนนภายในหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม
(ระบบระบายน้ำฝน หรือระบบป้องกันน้ำท่วม
(ระบบประปา
(ระบบบำบัดน้ำเสีย
(ระบบสื่อสารโทรคมนาคม
(ระบบไฟฟ้า
(ระบบดับเพลิงและระบบป้องกันอุบัติภัย
(ระบบจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูล
(ระบบติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อม
(๑๐ระบบรักษาความปลอดภัย
นอกจากที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่งแล้ว คณะกรรมการอาจกำหนดให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่นเพิ่มเติมตามความจำเป็นอีกก็ได้ เช่น ศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์กลางการติดต่อสื่อสาร สถานพยาบาล หรือการบริการรถรับส่ง เป็นต้น
ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา  ทั้งนี้ คณะกรรมการสามารถกำหนดให้แตกต่างกันได้ โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการบริหารจัดการ การควบคุมดูแล และการป้องกันผลกระทบที่จะมีต่อประชาชนหรือสิ่งแวดล้อมตามลักษณะของนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรม หรือกลุ่มกิจกรรมในแต่ละนิคมอุตสาหกรรม
การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในท้องที่ใด หากบริเวณท้องที่นั้นสามารถใช้บริการจากระบบหนึ่งระบบใดตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองจากหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนที่ได้ดำเนินการในลักษณะสาธารณะ หรือเป็นธุรกิจบริการภายนอกนิคมอุตสาหกรรม ผู้ที่จะจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสามารถจัดให้มีระบบตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง โดยการใช้บริการดังกล่าวได้ตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ

ข้อ   การจัดสรรพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมให้จัดตามความเหมาะสมกับลักษณะและขนาดของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละประเภท โดยแต่ละนิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีพื้นที่สีเขียว  ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ข้อ   ให้ผู้ที่จะจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมจัดทำโครงการเพื่อขออนุมัติต่อคณะกรรมการ โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อมูลในเรื่องดังต่อไปนี้
(ประเภทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมเป้าหมาย
(โครงการปรับปรุงที่ดินที่ขอจัดสรรเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม การจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการ รวมทั้งการปรับปรุงอื่นตามควรแก่สภาพและลักษณะของนิคมอุตสาหกรรม โดยแสดงแผนผังการใช้ที่ดิน แผนที่สังเขปแสดงแนวเขตที่ดิน แหล่งน้ำใช้ แหล่งรองรับน้ำทิ้ง และบริเวณข้างเคียง แผนงาน และกำหนดระยะเวลาการพัฒนาโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนแล้วเสร็จ
(ขนาดของการลงทุน แหล่งเงินทุน แผนการตลาด และแผนการเงิน
(ข้อเสนอเกี่ยวกับการดำเนินการให้บริการระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม
(จำนวนเนื้อที่และรายละเอียดของที่ดินพร้อมหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง หรือหลักฐานแสดงการจะได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่เจ้าของที่ดินยินยอมให้ดำเนินการเป็นนิคมอุตสาหกรรมได้
เมื่อคณะกรรมการอนุมัติโครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมตามที่ผู้จัดทำโครงการเสนอแล้ว ให้ประธานกรรมการประกาศการจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต หรือการยุบเขตนิคมอุตสาหกรรมในราชกิจจานุเบกษา

ข้อ   ในกรณีที่เอกชนหรือหน่วยงานอื่นของรัฐประสงค์จะจัดสรรที่ดินเพื่อจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นอกจากจะต้องดำเนินการตามที่กำหนดในข้อ  ข้อ  และข้อ  แล้ว จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
(การขออนุญาตและการอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน
(การค้ำประกันการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก
(การก่อภาระผูกพันแก่ที่ดินในโครงการ
(การดำเนินการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม
(การจัดการดูแลและบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก
(การจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก

ข้อ   นิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งต้องจัดให้มีกองทุนหลักประกันเพื่อการบำรุงรักษา และสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกของนิคมอุตสาหกรรมตามความเหมาะสมกับลักษณะและขนาดของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละประเภท  ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ข้อ   บรรดาหลักเกณฑ์ที่ออกตามกฎกระทรวง ฉบับที่  (.๒๕๓๙ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย .๒๕๒๒ ให้คงใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีหลักเกณฑ์ที่ออกตามกฎกระทรวงนี้ใช้บังคับแทน

ข้อ   บรรดาคำขออนุมัติจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ หรือ กนอในวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขออนุมัติดำเนินโครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม ในกรณีที่คำขออนุมัติดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากคำขออนุมัติตามกฎกระทรวงนี้ ให้คณะกรรมการ หรือ กนอมีอำนาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามกฎกระทรวงนี้

ให้ไว้  วันที่  มกราคม .๒๕๔๘
พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

หมายเหตุ : - เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันสถานการณ์ของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ดังนั้น เพื่อให้การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว สมควรต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับภาวะการลงทุนและสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อเอื้ออำนวยให้นิคมอุตสาหกรรมเป็นกลไกที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศได้อย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้







                
           ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ไม่ผ่าน


กนอ. เล็งยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดทั้งนี้เนื่องจากการที่ศาลระยองได้ตัดสินเพิกถอนประกาศการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 55 ที่ผ่านมานี้หลังจากนายเศรษฐา ปิตุเตชะ อดีตประธานสภาอบจ. จังหวัดระยองที่เพิ่งหมดวาระไปและกำลังลงรับเลือกตั้งสจ. และพวกรวม 386 คน มอบอำนาจให้นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนเป็นทนายร่างคำฟ้องร้อง ซึ่งนิคมฯ  บ้านค่ายเป็นนิคมฯ  เอกชนร่วมดำเนินการระหว่าง กนอ. และบริษัท ไออาร์พีซี
นายเศรษฐา ปิตุเตชะ อดีตประธานสภาอบจ. ระยองที่เพิ่งหมดวาระไปและกำลังลงรับเลือกตั้งสจ. ผู้มอบอำนาจให้นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนเป็นทนายร่างคำฟ้องร้อง กล่าวกับทีมข่าวsiamsafety ว่า การที่ศาลระยองได้สั่งเพิกถอนประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมระยอง (บ้านค่าย) นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งแม้ว่าทาง กนอ. จะขอยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเพิกถอนประกาศเรื่องการจัดตั้งนิคม อุตสาหกรรมระยอง (บ้านค่าย) ในพื้นที่ ต.หนองบัว และ ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป ตนไม่อยากก้าวล่วงถึงศาลท่าน แต่ก็ยังคิดว่าศาลปกครองสูงสุดท่านจะดูถึงเจตนารมณ์ในการวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ประกอบการตัดสินระดับหนึ่งและยังมั่นใจว่าท่านจะให้ความสำคัญต่อพื้นที่สีเขียว  ซึ่งการตัดสินของศาลปกครองระยองถือเป็นความสำเร็จขั้นแรกเท่านั้น เพราะตนยังต้องต่อสู้และจะทำให้บ้านค่ายเป็นปอดของประชาชนได้มาพักอาศัย ทั้งยังได้กล่าวย้อนเรื่องการฟ้องร้องว่า   ยอมรับว่าจังหวัดระยองมีนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมานานก่อนหน้านี้หลายแห่งแล้ว แต่ควรมีการกำหนดโซนพื้นที่อย่างพื้นที่สีเขียวสีขาวก็ไม่ควรกลายเป็นพื้นที่สีม่วง
ที่เราคัดค้านประกาศจัดตั้งนิคมบ้านค่ายเพราะ 1. การประกาศนิคมบ้านค่ายขัดต่อผังเมือง  2. บริเวณที่ประกาศจัดตั้งฯ เป็นที่พื้นที่ต้นน้ำ 3. เป็นพื้นที่ที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ พื้นบ้านที่สมควรรักษาเอาไว้ และ 4. การประกาศนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. ไม่ได้มีการจัดทำอีไอเอ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ตามที่มีในรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง กำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีการสำรวจความคิดเห็น
(ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุว่า การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว)
ตนเข้ามาจับเรื่องนี้ได้สองปีแล้ว และมีการฟ้องกันมาประมาณปีกว่าๆ จากการประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย ซึ่งไออาร์พีซีเข้ามาทำหลายที่ อย่างพื้นที่ก้นหนองมีการขยายโครงการแล้วสร้างมลภาวะแก่ชุมชนนาตาขวัญ เป็นต้น
ผมก็เห็นว่าอุตสาหกรรมก็เป็นอะไรที่มีความสำคัญที่สร้างเศรษฐกิจ รายได้ สร้างจีดีพีของจังหวัดแต่ไม่ใช่มาจัดตั้งบนพื้นที่สีเขียวมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นความสำคัญของกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มโรงงานก็มีความสำคัญแต่ต้องยึดตามกรอบ”  ส่วนความเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่นั้น 
ขอตอบว่าไม่ใช่ที่ผมทำตั้งใจจะให้บ้านค่ายเป็นปอดให้จังหวัดได้มีที่หายใจ และอย่างที่บอกว่าการจัดตั้งนิคมของ กนอ. ผิดเพราะไม่มีการจัดทำอีไอเอ ตั้งแต่ต้น
โดยส่วนตัวรู้จักกับนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านโลกร้อนเพราะนายศรีสุวรรณ ทำงานอาสามีการฟ้องร้องในมาบตาพุด จึงได้รู้จักและมาเป็นทนายให้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนจะมีคดีอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือการคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมอื่นอีกหรือไม่ ตอบว่ามีแน่นอนแต่ยังไม่ขอพูดตอนนี้  และฝากแสดงความ ดีใจกับประชาชนในการทำงานเมื่อผลคำพิพากษาเพิกถอนประกาศเรื่องการจัดตั้งนิคมฯ บ้านค่าย ของศาลปกครองระยอง ออกมาอย่างนี้ก็ดีใจและการที่ชุมชนออกมาร่วมมือร่วมใจกัน ประชาชนต้องออกมา ต้องช่วยตัวเองก่อนที่จะให้ใครมาช่วยเหลือ การกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจจึงเป็นพลัง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 55 ที่ผ่านมา ศาลปกครองระยองได้เพิกถอนประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมระยอง (บ้านค่าย) พื้นที่รวมกว่า 2,194 ไร่ ตั้งอยู่ใน ต.หนองบัวและ ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ผลจากการสั่งเพิกถอนประกาศจัดตั้งนิคมฯ อาจทำให้ต่อไปการจัดตั้งนิคมฯ จะต้องยืดเยื้อยาวนานกว่าเดิม โดยปกติหลังจากที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ประกาศเขตจัดตั้งนิคมฯ และเปิดให้เอกชนยื่นขอจัดตั้ง โดยจะต้องลงไปทำประชาพิจารณ์ในพื้นที่ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และผลกระทบต่อสุขภาพ (เอชไอเอ) แล้ว ในขั้นตอนที่เอกชนจะยื่นขอจัดตั้งนิคมฯ หากมีใครไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนการจัดตั้ง ก็อาจจะต้องไปสู้กันในขั้นตอนดังกล่าวก่อน จากนั้นถึงจะดำเนินการขั้นตอนตามกฎหมายอื่นต่อไปได้
โดยนายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ (กนอ.) กล่าวว่า กนอ.จะไปยื่นเรื่องอุทธรณ์คำพิพากษาเพิกถอนประกาศเรื่องการจัดตั้งนิคม อุตสาหกรรมระยอง (บ้านค่าย) ในพื้นที่ ต.หนองบัว และ ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเนื่องจากการประกาศเขตการตั้งนิคมอุตสาหกรรม เป็นขั้นตอนเบื้องต้นเพื่อกำหนดพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ภาคเอกชนไปทำรายงาน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการทำประชาพิจารณ์ประชาชนในพื้นที่ เพราะหากไม่ประกาศเขตไปก่อน จะดำเนินการทำอีไอเอไม่ได้
ทั้งนี้ในขั้นตอนการประกาศเขตนิคมฯ ผู้ประกอบการจะไม่สามารถจัดสรรพื้นที่ไปขายได้ หรือพัฒนาพื้นที่ได้ ต้องรอให้ผ่านการพิจารณาอีไอเอรวมถึงการทำประชาพิจารณ์ก่อน แล้วถึงจะมาขออนุญาตจัดสรรที่ดินจาก กนอ. อีกครั้ง ถึงจะสามารถเริ่มต้นพัฒนาและดำเนินการเชิงพาณิชย์   นาย วีรพงศ์ กล่าวว่า  ตอนนี้ต้องรอให้เป็นขั้นตอนทางศาล การพัฒนานิคมฯ ก็ต้องชะลอออกไปก่อน จนกว่าขั้นตอนทางศาลจะเสร็จสิ้น ซึ่งนิคมฯ บ้านค่ายเป็นนิคมฯ เอกชนร่วมดำเนินการระหว่าง กนอ. และบริษัท ไออาร์พีซี
สำหรับนายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ กนอ. เคยโชว์วิสัยทัศน์พัฒนานิคมฯก้าวทันโลก มุ่งพัฒนานิคมฯ ด้วยหลักธรรมาภิบาล พร้อมนำองค์กรขับเคลื่อนทันกระแสการค้าโลก รองรับการแข่งขันไทยก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2558 เมื่อ เดือนมีนาคม 55   เคยกล่าวไว้ว่า  จะมุ่งขับเคลื่อนองค์กรให้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อรองรับกับการลงทุนในมิติใหม่ ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของระบบการค้าโลก  และยังคงยึดหลักการบริหารจัดการองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ที่สร้างดุลยภาพของคุณภาพชีวิตระหว่างชุมชนและโรงงาน ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบค่านิยมหลักของ กนอ. คือการสร้างความสมดุล 5 ประการ ประกอบด้วย
1. Equitability เป็นการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค สร้างรายได้ทั่วประเทศ 
2. Economy เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศให้เกิดการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจได้ เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 48 นิคมฯ และมีจำนวนโรงงาน 3,713 แห่ง รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 2,300,000 ล้านบาท และมีจำนวนแรงงาน 530,000 คน 
3. Environment เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับนิคมอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 
4. Ethics เน้นความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ 
5. Education เน้นการเผยแพร่ความรู้ และยกระดับการศึกษา ซึ่งจะเน้นนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ในองค์กรมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับให้เป็นนิคมฯ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยชั้นสูง หรือ Science Park ซึ่งเป็นการรวมระหว่างศูนย์วิจัย และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์เข้าอยู่ด้วยกันในแห่งเดียว
ด้านนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม มวลชน และภาคอุตสาหกรรม เกิดขึ้นจากความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ทั้งๆ ที่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย ซึ่งเรื่องดังกล่าวค่อนข้างกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนของไทย เพราะไม่ว่าจะไปลงทุนที่ไหนก็ถูกต่อต้าน ซึ่งผู้ประกอบการที่ทำถูกต้องจริงๆ ก็ควรจะสร้างความโปร่งใสให้มวลชนเข้าใจ ขณะที่ภาครัฐต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วยในด้านมวลชน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นปัญหาของเอกชนอย่างเดียว
ส่วนนายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน ผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรม กล่าวว่า คำตัดสินของศาลออกมาอย่างนี้ จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในภาพรวม โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรง และต่อไปการเกิดขึ้นของนิคมฯ แห่งใหม่ก็จะยากขึ้น โดยเฉพาะรายที่มีที่ดินตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียว อย่างไรก็ตาม อมตะฯ มีที่ดินรอการพัฒนาทั้งหมด 1.4 หมื่นไร่ จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่สีม่วงสามารถทำอุตสาหกรรมได้
นายศรีสุวรรณ จรรยา กล่าวว่า ยังมีคดีที่สมาคมฯ ได้ยื่นเพิกถอนประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม โรงงานและสิ่งก่อสร้าง ที่ได้ยื่นฟ้องในลักษณะเดียวกันอีกประมาณ 5-6 แห่ง เช่น นิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง ต.สำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง บริษัท ไทยเจนเนอรัลไนซ์โคล แอนด์โค้ก หรือโรงงานถ่านหินโค้ก ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายบายพาส 36 เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด จ.ระยอง ที่ดำเนินการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต โรงงานรีดยางพาราที่ จ.บุรีรัมย์ ที่ยังไม่จัดทำอีไอเอ



พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2522
เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522"
มาตรา 2* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป *[รก. 2522/41/10พ./24 มีนาคม 2522]
มาตรา 3 ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 339 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515
บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราช บัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา 4* ในพระราชบัญญัตินี้ "นิคมอุตสาหกรรม" หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตอุตสาหกรรม ส่งออก
"เขตอุตสาหกรรมทั่วไป" หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการ ประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม
"เขตอุตสาหกรรมส่งออก" หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการ ประกอบอุตสาหกรรมการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศและกิจการ อื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้า ออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
"ผู้ประกอบอุตสาหกรรม" หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบ อุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม
"การค้าเพื่อส่งออก" หมายความว่า การค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไป จำหน่ายยังต่างประเทศ
"ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก" หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการ ค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
"ผลิต" หมายความรวมถึงทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย
"ภาษีสรรพสามิต" หมายความว่า ภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร
"คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
"ผู้ว่าการ" หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
"พนักงาน" หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรวมทั้ง ผู้ว่าการ
"ลูกจ้าง" หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
"พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม พระราชบัญญัตินี้
"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
*[มาตรา 4 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัติ นี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด 1
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
________

ส่วนที่ 1
การจัดตั้ง
________
มาตรา 6 ให้จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมขึ้น เรียกว่า "การนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย" เรียกโดยย่อว่า "กนอ." และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(1) การจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม หรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กนอ.
*(2) การปรับปรุงที่ดินตาม (1) เพื่อให้บริการ ตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวก ในการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ประกอบ กิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อ ส่งออก เช่น การจัดให้มีถนน ท่อระบายน้ำ โรงบำบัดน้ำเสีย ไฟฟ้า ประปา และโทรคมนาคม เป็นต้น
(3) การให้เช่า ให้เช่าซื้อ และขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ในนิคม อุตสาหกรรมหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง
(4) การดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ใน วัตถุประสงค์ของ กนอ.
(5) การร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นตามวัตถุประสงค์ใน (1) (2) หรือ (3) รวมทั้ง การเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่ง มีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ.
(6) การส่งเสริมและควบคุมนิคมอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ
*[ความใน (2) ของมาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 7 ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 339 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ให้แก่ กนอ.
ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งเมื่อได้หักหนี้ออกแล้วให้ถือเป็นทุนของ กนอ.
มาตรา 8 ทุนของ กนอ. ประกอบด้วย
(1) ทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา 7
(2) เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน
(3) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น
(4) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือต่างประเทศ หรือจากองค์การระหว่างประเทศ
มาตรา 9 ให้ กนอ. ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียง และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยก็ได้
มาตรา 10 ให้ กนอ. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตาม มาตรา 6 อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
*(1) การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ประกอบกิจการอื่น ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี
*(2) การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรม การค้าเพื่อส่งออกหรือ กิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตาม หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
(3) การตรวจตราความเป็นอยู่ของคนงานในนิคมอุตสาหกรรม
*(4) การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อ ส่งออก ผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการ ประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายรวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขหรือที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพ สิ่งแวดล้อม
(5) การลงทุน
(6) การกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการของ กนอ.
(7) การออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
*[ความใน (1) (2)และ (4) ของมาตรา 10 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 11 ให้ กนอ. มีอำนาจตรวจสอบและรับรองชนิดและปริมาณของวัตถุดิบ หรือผลิตภัณฑ์ หรือชนิดและจำนวนของเครื่องจักรสำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องออกใบรับรองหรือ ในกรณีที่นำเข้ามาในหรือนำออกไปจากนิคมอุตสาหกรรมซึ่งของดังกล่าว ทั้งนี้ โดยเรียกเก็บ ค่าบริการตามที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 12 ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมในอัตราอันสมควร เพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการดังต่อไปนี้
(1) การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของ กนอ. รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา โบนัส และกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงาน และครอบครัว
(2) การชำระหนี้สินเท่าที่จำนวนเงินเพื่อการชำระนั้นเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ เป็น ค่าเสื่อมราคาและสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดหาทรัพย์สินใหม่แทนทรัพย์สินเดิม
(3) การจัดให้มีเงินสำรองและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการขยายกิจการและลงทุน
มาตรา 13 ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าซื้อ และราคาขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ตามที่เห็นสมควร
มาตรา 14 เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่ใดเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา 39 แล้ว ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า และค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ทั้งนี้ ตามความ เหมาะสมในด้านธุรกิจ
มาตรา 15 รายได้ที่ กนอ.ได้รับจากการดำเนินกิจการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ กนอ. และเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับการดำเนินกิจการ และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคา ตลอดจนหักเงินสำรองตามมาตรา 16 ประโยชน์ตอบแทนและ โบนัสตามมาตรา 32 และมาตรา 35 หรือเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่น ตามมาตรา 34 และเงินลงทุนตามมาตรา 66 แล้วเหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เป็นรายจ่าย ที่หักเป็นเงินสำรองตามมาตรา 16 และโบนัสตามมาตรา 32 และมาตรา 35 และ กนอ.ไม่ สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กนอ. เท่าจำนวนที่ขาด
มาตรา 16 เงินสำรองของ กนอ.ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้ เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่นเพื่อความ ประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
เงินสำรองจะนำออกมาใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา 17 ทรัพย์สินของ กนอ.ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
ส่วนที่ 2
คณะกรรมการและผู้ว่าการ
_______
มาตรา 18 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย" ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีก ไม่เกินสิบคนรวมทั้งผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งมิใช่ กรรมการโดยตำแหน่ง
มาตรา 19 ผู้ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้ว่าการ ต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับบริหารธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์ การคลัง หรือกฎหมาย
มาตรา 20 ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งต้องมี คุณสมบัติตาม (1) และ (2) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (3) (4) (5) (6) และ (7) ดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์
(3) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
(4) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้ จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(5) เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง
(6) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
(7) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ.หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือ ในกิจการที่มีสภาพอย่างเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเว้นแต่เป็น เพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
มาตรา 21 ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ใน ตำแหน่งคราวละสามปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการ ขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการ และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นรักษาการในตำแหน่ง ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา 22 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 21 ประธาน กรรมการ หรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(1) ตาย
(2) ลาออก
(3) คณะรัฐมนตรีให้ออก
(4) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(5) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 20
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระ อยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่ง เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น
มาตรา 23 ให้คณะกรรมการมีอำนาจวางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่ง กิจการของ กนอ. อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(1) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา 6 และ มาตรา 10
(2) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะ กรรมการและคณะอนุกรรมการ
(3) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจัดแบ่งส่วนงาน วิธีปฏิบัติงานและการเงิน ของ กนอ.
(4) การออกระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนหรือค่าจ้าง ของพนักงานและลูกจ้าง
(5) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือน หรือค่าจ้าง การออกจากตำแหน่ง วินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงาน และลูกจ้าง
(6) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจ่ายค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่า ที่พัก ค่าล่วงเวลา และการจ่ายเงินอื่น ๆ
(7) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
(8) การออกระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง
(9) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือเครื่องแต่งกายของ บุคคลซึ่งปฏิบัติงานภายในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
(10) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเข้าไปหรืออยู่ในเขต อุตสาหกรรมส่งออก
(11) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์ อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัวด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
(12) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษา ทรัพย์สินของ กนอ.
(13) การกำหนดราคาขาย อัตราค่าเช่า ค่าเช่าซื้อและระยะเวลาการเช่าและเช่าซื้อ อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและอัตราค่าบริการ ในนิคมอุตสาหกรรม
ระเบียบหรือข้อบังคับตาม (3) ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำ นิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 24 เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ กนอ. ให้คณะกรรมการมีอำนาจ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ กนอ. และกำหนดค่าตอบแทน อนุกรรมการได้
มาตรา 25 ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ว่าการและกำหนดอัตราเงินเดือนของ ผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
มาตรา 26 ผู้ว่าการต้องมีคุณสมบัติตาม (1) (2) และ (3) และไม่มีลักษณะ ต้องห้าม ตาม (4) (5) (6) (7) (8) และ (9) ดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์
(3) สามารถทำงานให้แก่ กนอ. ได้เต็มเวลา
(4) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
(5) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้ จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(6) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมือง ลูกจ้างของกระทรวงทบวงกรมหรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น
(7) ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น
(8) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
(9) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือ ในกิจการที่มีสภาพเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เว้นแต่เป็นเพียง ผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
มาตรา 27 ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(1) ตาย
(2) ลาออก
(3) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 26
(5) คณะกรรมการให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวน กรรมการทั้งหมดโดยไม่นับรวมผู้ว่าการ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย
มาตรา 28 ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กนอ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและ ลูกจ้าง
ในการบริหารกิจการ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการ
มาตรา 29 ผู้ว่าการมีอำนาจ
(1) กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติงาน ในการทำงานของพนักงาน หรือลูกจ้าง

(2) ออกระเบียบในการบริหารกิจการของ กนอ.
ทั้งนี้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ
(3) บรรจุ แต่งตั้งและถอดถอน เลื่อน ลด และตัดเงินเดือน หรือค่าจ้างตลอดจน ลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะ กรรมการ
มาตรา 30 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นตัวแทน กนอ. เพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไป ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ
นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับตามมาตรา 23 วรรคสอง ย่อมไม่ผูกพัน กนอ. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน
มาตรา 31 เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ แล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา 26 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่ อย่างเดียวกับผู้ว่าการ เว้นแต่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ
มาตรา 32 ประธานกรรมการและกรรมการ ย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนและ อาจได้รับโบนัส ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ส่วนที่ 3
พนักงานและลูกจ้าง
________
มาตรา 33 ให้พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการลงโทษหรือร้องทุกข์ ได้ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ
มาตรา 34 ให้ กนอ. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อ สวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
มาตรา 35 พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
หมวด 2
นิคมอุตสาหกรรม
______

ส่วนที่ 1
การจัดตั้ง
_______
มาตรา 36 นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภทคือ
(1) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป
(2) เขตอุตสาหกรรมส่งออก
การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมทั่วไปให้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย
การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ตราเป็น พระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย
*การกำหนดให้เขตอุตสาหกรรมส่งออกใดเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่มีการค้า เพื่อส่งออกให้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[ความในวรรคสี่ของมาตรา 36 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 36 ทวิ* เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 36 วรรคสาม จัดตั้งหรือ เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตดังกล่าวตกเป็น กรรมสิทธิ์ของ กนอ. เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในกรณีที่
พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ ร่วมกันเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวง การคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว หรือในกรณีที่พลเมืองยังใช้ประโยชน์ใน ที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อกระทรวง มหาดไทยได้ให้ความยินยอม และกนอ. ได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทน โดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณ สมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพ หรือโอนตามประมวล กฎหมายที่ดิน
(2) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดย เฉพาะหรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการเมื่อกระทรวง การคลังได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคา ที่กระทรวงการคลังกำหนดแล้วให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอน ตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ
(3) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดิน ซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน เมื่อ กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลัง ตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว
ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา 36 วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขต อุตสาหกรรมทั่วไปให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่ กนอ. ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราช กฤษฎีกานั้น และเมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้ กนอ. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ภายใต้เงื่อนไขเช่นเดียวกับที่กล่าวในวรรคหนึ่ง
*[มาตรา 36 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 37 นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 38 เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วย การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในการนี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่คิดว่าจะเวนคืน ไว้ก่อนก็ได้ และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับ โดยอนุโลม *อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือ ผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบ การค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณีได้ *[ความในวรรคสามของมาตรา 38 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 39 เขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ถ้าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตาม มาตรา 37 แล้ว คณะกรรมการด้วยความยินยอมของเจ้าของที่ดินอาจดำเนินการให้พื้นที่นั้นเป็น นิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ได้
มาตรา 39 ทวิ* การจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา 39 ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการจัดสรรที่ดินของเอกชน แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจ หน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตาม พระราชบัญญัตินี้
*[มาตรา 39 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 40 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบหรืออักษรต่างประเทศ ซึ่งแปลหรืออ่านว่า "นิคมอุตสาหกรรม" "เขตอุตสาหกรรมทั่วไป" หรือ "เขตอุตสาหกรรมส่งออก" ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความหรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นนิคม อุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้
ส่วนที่ 2
การประกอบกิจการ ประโยชน์ และข้อห้าม
________
มาตรา 41 ผู้ใดจะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตเป็น หนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 42 บรรดาการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงาน และการประกอบกิจการ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการ ก่อสร้างอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย
มาตรา 43 ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา 42 หรือในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร โดยแจ้ง ระยะเวลาให้ผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารทราบ
เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้วและผู้ปลูกสร้างเจ้าของหรือ ผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนอ. ให้ กนอ.มีอำนาจจัดการอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิด ค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารนั้น
มาตรา 44* ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกอาจได้รับ อนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตอุตสาหกรรมส่งออก แล้วแต่กรณี เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ ตามกฎหมายอื่น
ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกซึ่งเป็นคน ต่างด้าว เลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อ ส่งออกต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์และส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณี ภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้ อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินและส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือบุคคลอื่นตามประมวล กฎหมายที่ดิน
*[มาตรา 44 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 45* ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญตินี้ มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกได้รับ อนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น
(1) ช่างฝีมือ
(2) ผู้ชำนาญการ
(3) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (1) หรือ (2) เข้ามาใน ราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะ กรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตาม กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
*[ มาตรา 45 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 46 ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวเพียงเท่าที่ พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่ง ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 45 ได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การ ทำงานที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
มาตรา 47* ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกซึ่งมี ภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตรา ต่างประเทศได้เมื่อเงินนั้นเป็น
(1) เงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิด จากเงินทุนนั้น
(2) เงินกู้ต่างประเทศที่นำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบ การค้าเพื่อส่งออกตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบรวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น
(3) เงินที่มีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการ ต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออกและสัญญานั้นได้รับ ความเห็นชอบจาก กนอ.
ในกรณีที่ระยะเวลาใดดุลการชำระเงินต้องประสบความยุ่งยากจำเป็นต้องสงวน เงินตราต่างประเทศให้มีสำรองไว้ตามสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจำกัดการนำหรือส่งเงิน นั้นออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อผลดังกล่าวนั้นก็ได้ แต่จะไม่จำกัดการส่งเงินทุน ที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรต่ำกว่าร้อยละยี่สิบต่อปีของยอดเงินทุน ดังกล่าวที่เหลืออยู่ในวันที่ 31 ธันวาคมของปี ถ้าการส่งเงินนั้นกระทำภายหลังที่นำเข้ามาแล้วเป็น เวลาสองปี และจะไม่จำกัดการส่งเงินปันผลต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินทุนที่นำเข้ามาใน ราชอาณาจักร และเหลืออยู่ในขณะที่ขอส่งเงินปันผลออก
*[ความในวรรคหนึ่งของมาตรา 47 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ] (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 48* ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกในเขต อุตสาหกรรมส่งออกจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต สำหรับของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือการค้า เพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี และของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบหรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขต อุตสาหกรรมส่งออก ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ตามที่คณะกรรมการอนุมัติ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
*[มาตรา 48 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 49* ของที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกนำเข้า มาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า หรือเพื่อการ ค้าเพื่อส่งออก ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากร ขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรสามิต ทั้งนี้ ให้รวมถึงของที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก แห่งหนึ่งไปยังเขตอุตสาหกรรมส่งออกอีกแห่งหนึ่งด้วย
*[มาตรา 49 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 50* ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรม ส่งออกตามมาตรา 49 รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขต อุตสาหกรรมส่งออก หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออก ภาษี มูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต
*[มาตรา 50 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534]
มาตรา 51* ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรม ส่งออกตามมาตรา 48 มาตรา 49 และของตามมาตรา 52 รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่น ที่ได้จากการผลิตในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หากนำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้หรือ จำหน่ายในราชอาณาจักร จะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ตามสภาพ ราคา และอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ ในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกโดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำ ออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก
*[มาตรา 51 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 52 ของที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากร เมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก เพื่อ ใช้ตามมาตรา 48 หรือมาตรา 49 ให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไป นอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
มาตรา 53 การนำของเข้ามาในหรือนำออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก การ เก็บรักษา และการควบคุมการขนย้าย ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการนำของเข้า การส่งของออก และ การเก็บของในคลังสินค้า ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม กับทั้งต้องปฏิบัติ ตามระเบียบและพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด และให้นำบทลงโทษตามกฎหมายดังกล่าว มาใช้บังคับด้วย
มาตรา 54* ของที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกในกรณีที่ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกขออนุญาตเป็นหนังสือต่อ กนอ. เพื่อ ทำลาย หรือในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายของดังกล่าว ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี หรือตัวแทนของบุคคล ดังกล่าวและอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดี กรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายของนั้นตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด
ในกรณีที่ กนอ. ไม่อาจแจ้งให้บุคคลตามวรรคหนึ่งทราบได้ เมื่อ กนอ. ได้ปิด ประกาศไว้ ณ สำนักงานของบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเป็นเวลาเจ็ดวัน ให้ ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งแล้ว
ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้น ค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีสรรพสามิต
*[มาตรา 54 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 55 ห้ามมิให้ผู้ใดนำของในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ออกไปจากเขต อุตสาหกรรมส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย
การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการ กำหนด
มาตรา 56 ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเว้นแต่จะได้รับ อนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อ บังคับของ กนอ.
การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและแบบที่คณะ กรรมการกำหนด
หมวด 3
พนักงานเจ้าหน้าที่
_______
มาตรา 57* พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบ อุตสาหกรรมผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณีในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง หรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการจากบุคคล ซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็น ในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต้อง ให้ความสะดวกตามสมควร
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการ หรือ ผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือ การประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน
*[มาตรา 57 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539]
มาตรา 58 พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจตรวจค้น โรงงาน อาคาร ยานพาหนะ และบุคคล รวมตลอดถึงของใด ๆ ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
มาตรา 59 ถ้าพบผู้ใดกำลังกระทำความผิด หรือพยายามกระทำความผิดหรือใช้ หรือช่วย หรือยุยง ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากรใน นิคมอุตสาหกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับผู้นั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แล้วนำส่งพนักงาน สอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมด้วยของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป
มาตรา 60 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 57 มาตรา 58 หรือมาตรา 59 ให้ พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง
มาตรา 61 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด 4
การควบคุม
______
มาตรา 62 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. เพื่อ การนี้จะสั่งให้ กนอ. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อ นโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบาย ของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ กนอ. ได้
มาตรา 63 ในกรณี กนอ. จะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีให้นำเรื่องเสนอ รัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา 64 ในการดำเนินกิจการของ กนอ. ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน
มาตรา 65 ให้ กนอ. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของกระทรวง การคลัง
มาตรา 66 กนอ. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนิน กิจการดังต่อไปนี้ได้
(1) การลงทุนเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม
(2) การเพิ่มทุนโดยตีราคาทรัพย์สินใหม่
(3) การลดทุน

(4) การกู้ยืมเงินเกินสิบล้านบาท
(5) การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(6) การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นการจำหน่าย อสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรม
(7) การจำหน่ายทรัพย์สินเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ
มาตรา 67 ให้ กนอ. จัดทำงบประมาณประจำปีโดยแยกเป็นงบลงทุนและงบ ทำการ สำหรับงบลงทุนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา 68 ให้ กนอ. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภท งานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ
(1) การรับและจ่ายเงิน
(2) สินทรัพย์และหนี้สิน ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่สมควรโดยพิจารณาตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ
มาตรา 69 ทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชี รวมทั้งการเงินของ กนอ.
มาตรา 70 ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบสรรพสมุดบัญชีและ เอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ กนอ. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานและลูกจ้าง
มาตรา 71 ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบบัญชีเสนอ คณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้ กนอ.โฆษณารายงานประจำปี ของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีและตรวจ บัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้วภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
หมวด 5
บทกำหนดโทษ
_______
มาตรา 72 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 40 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทและ ปรับอีกวันละสองร้อยบาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลิกใช้
มาตรา 73 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ห้าพันบาท และให้ศาลสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราช บัญญัตินี้
มาตรา 74 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ของที่นำออกไปโดยฝ่าฝืนมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น
มาตรา 75 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 56 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 76 ผู้ใดไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 57 วรรคหนึ่ง หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร ตามมาตรา 58 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
บทเฉพาะกาล
_______
มาตรา 77 ให้ผู้อำนวยการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 339 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 78 ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตาม ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 339 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็นคณะกรรมการการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ประธานกรรมการและกรรมการดำรง ตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขึ้นใหม่
เมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตาม พระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามวรรคหนึ่ง พ้นจากตำแหน่ง
มาตรา 79 บรรดานิคมอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ 339 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ให้ถือว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 80 บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่ง ซึ่งออก หรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 339 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 และใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส.โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี

____________________________
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 339 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นและเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุง กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
____________________________
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534 หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้ แทน สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 เพื่อให้ ผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เคยได้รับยกเว้นภาษีการค้า ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก. 2534/201/225พ./21 พฤศจิกายน 2534]

____________________________
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539 หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราบัญญัติการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการ จึงไม่เหมาะสมกับสภาพของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สมควรเพิ่มบทบาทในด้านการค้าและการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ให้ต่อเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อให้สามารถดำเนินการ ได้เต็มรูปแบบของวงจรเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในเขตพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งขึ้น ยังอาจมีพื้นที่ครอบคลุมที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และ วิธีการสำหรับการถอนสภาพและโอนกรรมสิทธิที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และ เหมาะสมกับการดำเนินการนิคมอุตสาหกรรม และโดยที่การจัดการและการจัดสรรที่ดินในเขตนิคม อุตสาหกรรมมีขั้นตอนตามกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติหลายฉบับ อันทำให้เกิดปัญหาและ อุปสรรคต่อการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม สมควรแก้ไข เพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการให้น้อยลงเพื่อให้การพัฒนา อุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันและการลงทุนระหว่าง ประเทศ และโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ กนอ. มีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็น สูญได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก. 2539/54ก/14/22 ตุลาคม 2539]


      ดร.สมัย เหมมั่น CEO รวบรวมและนำเสนอ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการธุรกิจสู่ AEC  โครงการนิคม อุตสาหกรรม เมืองมหาชัย (อยู่เจริญ-ท่าจีน)

      ศึกษาโครงการที่เกียวเนื่องของรัฐบาลที่สนับสนุนการก่อสร้าง
                        โครงการขยายถนน สะพานสมุทร

สะพานสมุทรสาครจริงหรือฝัน?

คืบหน้าไปอีกขั้นสำหรับโครงการถนนสายสมุทรปราการ-สมุทรสาคร ความยาว 60 กิโลเมตร พร้อมสะพานสมุทรปราการ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ และสะพานสมุทรสาคร ข้ามแม่น้ำท่าจีน เมื่อกรมทางหลวงชนบทได้ว่าจ้างเอกชนออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายในเดือนธันวาคม 2559 โดยใช้ระยะเวลา 26 เดือน
โดยโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานในระยะ 10 ปีแรก (ปัจจุบัน พ.ศ. 2564) ของแผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เขตกรุงเทพและปริมณฑล กระทรวงคมนาคม ที่มีโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 9 แห่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร และรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ 2 แห่ง และถนนยกระดับขนานคลองสรรพสามิต และคลองพิทยาลงกรณ์ ความยาวรวม 60 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่ถนนเทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ สิ้นสุดที่ถนนพระราม 2 บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 38-39 ก่อนถึงปากทางบ้านแพ้ว มูลค่าก่อสร้างประมาณ 5 หมื่นล้านบาท หากดำเนินการก่อสร้างจะใช้เวลาเวนคืนที่ดินประมาณ 2-3 ปี และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4-5 ปี
ที่สำคัญ โครงการนี้มีทางเชื่อมต่างระดับรวม 9 จุด ได้แก่ ทางแยกต่างระดับถนนพระราม 2, ทางขึ้น-ลงท่าฉลอม และทางแยกต่างระดับมหาชัย, ทางแยกต่างระดับ บางขุนเทียน-ชายทะเล, ทางแยกต่างระดับวัดคู่สร้าง, ทางแยกต่างระดับสุขุมวิท, ทางแยกต่างระดับแพรกษา, แนวเชื่อมต่อวงแหวนด้านใต้ (สุขสวัสดิ์-บางพลี) และทางแยกต่างระดับถนนเทพารักษ์
น่าสังเกตว่า โครงการนี้จะใช้แนวเส้นทางใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่สะพานสมุทรสาคร ถึงสะพานสมุทรปราการ จะไม่ใช้แนวถนนสหกรณ์-โคกขามแล้ว แต่จะตัดถนนใหม่ขนานไปกับคลองพิยาลงกรณ์ และคลองสรรพสามิต โดยมีระยะห่างจากคลอง 350 เมตร พร้อมถนนบริการชุมชน จึงคาดว่าเพื่อแบ่งการจราจรระหว่างรถที่สัญจรระยะใกล้ กับรถที่สัญจรระยะยาว
ความเจริญขานรับ สหกรณ์-โคกขามส้มหล่นราคาที่ดินพุ่ง!
ในการประชุมแนะนำโครงการที่ จ.สมุทรสาคร ประชาชนที่เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นพอใจในโครงการถนนสายดังกล่าว เนื่องจากถนนสายหลักในสมุทรสาครมีน้อย สวนทางกับการจราจรและความหนาแน่นของชุมชนมีมากขึ้น แม้จะมีบางความเห็นที่เสนอแนะเพิ่มเติม เช่น ให้ถนนยกระดับสูงมากกว่า 2.5 เมตร ให้รูปแบบสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนมีความสวยงามเหมือนแม่น้ำเจ้าพระยา ฯลฯ
หากย้อนกลับไปในช่วงที่ผ่านมา ถนนสหกรณ์-โคกขาม ในพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก และ ต.โคกขาม นั้น มีโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นจำนวนหนึ่ง โดยส่วนมากเป็นผู้ประกอบการท้องถิ่น อาทิ หมู่บ้านรินรดา, หมู่บ้านสาครธานี, หมู่บ้านมหาชัยเมืองทอง, หมู่บ้านสวนปาล์มลากูน, หมู่บ้าน ณ ชเล เพลส, หมู่บ้านมหาชัยธานี, หมู่บ้านสวนมหาชัย, หมู่บ้านอิฐสวย ฯลฯ
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวโครงการพฤกษ์ลดา มหาชัย บริเวณถนนสหกรณ์-โคกขาม เป็นบ้านเดี่ยวขนาดที่ดินตั้งแต่ 50 ตารางวา จำนวน 293 แปลง มีพื้นที่โครงการรวม 65.2 ไร่ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3-5 ล้านบาท พร้อมสโมสร สระว่ายน้ำ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนขึ้นไป
ถือเป็นโครงการแรกบนถนนสหกรณ์-โคกขาม ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เข้ามาปักธงในพื้นที่แห่งนี้ และเป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้กับโค้งยายขาว ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงกับทางแยกต่างระดับมหาชัย หากโครงการนี้เกิดขึ้นจริงจะมีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เข้ามาเปิดโครงการเพิ่มเติมในพื้นที่แห่งนี้แน่นอน
ข้อมูลจากกรมธนารักษ์ระบุถึงราคาประเมินที่ดินในรอบบัญชีปี 2555-2558 พบว่าหมู่บ้านมหาชัยเมืองทอง ต.บางหญ้าแพรก ราคาประเมินที่ดินอยู่ที่ 15,000 บาทต่อตารางวา แต่จากการสำรวจการประกาศขายที่ดินบนถนนสหกรณ์ พบว่าได้มีการประกาศขายตั้งแต่ไร่ละ 1-3 ล้านบาท คาดว่าหากมีโครงการสะพานสมุทรสาครเกิดขึ้น ราคาที่ดินจะพุ่งสูงขึ้นกว่านี้
นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า โครงการนี้มีทางแยกต่างระดับท่าฉลอม บริเวณริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก เชื่อมโยงกับถนนเทศบาลตำบลบางหญ้าแพรก ที่ผ่านมาบริเวณดังกล่าวเป็นเพียงชุมชนชาวประมงเล็กๆ ห่างจากตัวเมืองสมุทรสาครทางรถยนต์ประมาณ 10 กิโลเมตร แต่เมื่อมีทางแยกต่างระดับตัดผ่าน นอกจากจะลดระยะเวลาข้ามฟากแล้วยังส่งผลไปถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์จะปักธงจุดนี้ด้วย
ถนนสหกรณ์-โคกขามยังไม่เป็น 4 ช่องจราจรตลอดสาย
สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นบนโครงการถนนสายสมุทรปราการ-สมุทรสาครนั้น จะกระจุกตัวอยู่ในละแวกทางแยกต่างระดับมหาชัย และท่าฉลอมเป็นหลัก แม้จะมีทางบริการชุมชนแต่ก็ขึ้นอยู่กับทำเลว่าจะเข้า-ออกถนนสายหลักได้สะดวกหรือไม่ ส่วนถนนสหกรณ์-โคกขามนั้นแม้จะอยู่คนละส่วน เพราะแนวเส้นทางใหม่อยู่ทางทิศใต้ของคลองพิทยาลงกรณ์ และคลองสรรพสามิต แต่ก็ยังมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังถนนพันท้ายนรสิงห์ และถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล
สภาพเส้นทางถนนสหกรณ์-โคกขาม ตั้งแต่สุดเขตเทศบาลนครสมุทรสาคร ถึงวัดสหกรณ์โฆษิตารามนั้น พบว่าส่วนใหญ่มีเพียง 2 ช่องจราจรสวนทางเท่านั้น จะมี 4 ช่องจราจรเป็นบางช่วง โดยสะพานข้ามคลองสหกรณ์ ที่ก่อสร้างเป็น 2 สะพานคู่กัน ความกว้างรวม 4 ช่องจราจร ซึ่งเป็นที่กังขาว่าถนนมีเพียงแค่ 2 ช่องจราจร ยังไม่ขยายถนนมาถึงจุดนี้ แล้วจะสร้างสะพานคู่ไปทำไม
ที่ผ่านมากรมทางหลวงมีอุปสรรคในเรื่องของงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ต้องนำไปพัฒนาแก้ไขปัญหาภาพรวมทั้งประเทศ ทำได้เพียงแค่ใช้วิธีการซ่อมบำรุงมาโดยตลอด ไม่ได้มีการพัฒนาถนนเพื่อรองรับยานพาหนะที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี อีกทั้งถนนสหกรณ์ไม่ถือว่าเป็นโครงข่ายหลัก นโยบายกรมทางหลวงส่วนใหญ่จึงยกถ่ายโอนให้กับหน่วยงานท้องถิ่นที่มีศักยภาพมากพอในการพัฒนาดูแล
ข้อมูลจากสำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง พบว่าถนนสหกรณ์-โคกขาม เมื่อปี 2551 มีปริมาณการจราจรโดยเฉลี่ย 1.1 หมื่นคันต่อวัน ก่อนที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในปี 2554 เฉลี่ย 1.4 หมื่นคัน หรือเพิ่มขึ้น 27% แต่ในปี 2557 ที่ผ่านมา พบว่ามีปริมาณการจราจรโดยเฉลี่ยแบบก้าวกระโดด สูงถึง 1.8 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นสูงถึง 63%
หากมีความเจริญเข้ามามากขึ้น คาดว่าจะมีปริมาณการจราจรสูงถึง 2 หมื่นคัน เทียบเท่าถนนเอกชัยที่มีปริมาณการจราจรโดยเฉลี่ย 2.2 หมื่นคันต่อวันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สภาพถนนเพียงแค่ 2 ช่องจราจรสวนทางนั้นไม่เพียงพอต่อความแออัดของถนนที่ถูกบีบจากสะพานมหาชัยลงมาแน่นอน เพื่อให้สอดรับกับโครงการถนนสายสมุทรปราการ-สมุทรสาคร ก็จะต้องขยายถนนสหกรณ์-โคกขามเป็น 4-6 ช่องจราจร เพื่อรับรถเข้าสู่ตัวเมืองสมุทรสาคร
แม้ว่าถนนสหกรณ์-โคกขาม จะสมควรพัฒนาโดยการขยายถนน แต่พบว่าในช่วงที่ผ่านมาไม่มีการนำเสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมระดับจังหวัด โดยที่ผ่านมาต่างมุ่งเน้นให้ความสนใจไปที่ถนนพระราม 2 ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ภาคใต้ ซึ่งมีปัญหาด้านการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล และปัญหาขาดแคลนจุดกลับรถ แต่ขึ้นอยู่กับการผลักดันงบประมาณลงมายังจังหวัดว่าจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่
– “ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
แม้ว่าในพื้นที่สมุทรสาครจะมีการขานรับโครงการถนนสมุทรปราการ-สมุทรสาคร พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา และสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน ที่ถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดสมุทรสาคร แต่ในสายตาของนักอนุรักษ์ ยังตั้งข้อสงสัยว่า เพราะเหตุใดจึงต้องการสร้างทางยกระดับดังกล่าว ขนานไปกับแนวชายฝั่งทะเลของกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
เว็บไซต์โอเคเนชั่น โดยบล็อกเกอร์ BlueHill เคยเขียนบทความในหัวข้อ วิถีชุมชน ชีวิตนกน้ำ และโครงการสะพานข้ามเจ้าพระยา 5 หมื่นล้านเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ว่า บริเวณเวณดังกล่าวแม้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร แต่ก็มีพื้นที่จำนวนไม่น้อยเป็น พื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรชีวภาพ เป็นแหล่งอาหารแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำที่สำคัญ ทั้งยังเป็นแนวป้องกันคลื่นลมและการพังทลายของชายฝั่งทะเล
โดยเฉพาะทางยกระดับพาดผ่านบริเวณ พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติตามอนุสัญญาแรมซาร์ ไซต์ ใน ต.โคกขาม อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่ง ทำนาเกลือ ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนไทยที่สืบทอดกันมายาวนาน และเป็นจุดอาศัยของ นกชายเลนหายากระดับโลก ในช่วงที่อพยพมาเมืองไทย
นาเกลือโคกขาม เป็นแหล่งดูนกชายเลนที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่ละปีมีชาวต่างประเทศบินมาดูนกหายากระดับโลกที่นี่กันเป็นจำนวนมาก สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยว ในช่วงฤดูหนาวจะพบนกได้ไม่ต่ำกว่า 40 ชนิด ในช่วงต้นปีของทุกปีจะมีการจัดงาน เทศกาลอนุรักษ์นกชายเลนขึ้นมา เพื่ออนุรักษ์นกชายเลนที่สวยงามและหาดูได้ยาก รวมถึงยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรสาครด้วย
ดูเหมือนว่าบริษัทที่รับทำอีไอเอ ให้กับโครงการทางยกระดับของกรมทางหลวง คงต้องทำการบ้านอย่าง หนักหน่วง เพื่อที่จะอธิบายให้เห็นภาพว่า ทางยกระดับความยาวร่วม 60 กิโลเมตร พร้อมงบเกือบ 50,000 ล้านบาท ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชุมชนและไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อมแต่อย่างใดในบทความ ระบุ
บล็อกเกอร์รายดังกล่าวได้ระบุอีกว่า กรมทางหลวงชนบท มีเจตนาหรือจงใจ ละเมิดอนุสัญญาแรมซาร์ ไซต์ หรือไม่ เพราะในปี 2540 ครม. เห็นชอบในหลักการการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาพื้นที่ชุ่มน้ำ และให้กระทรวงต่างประเทศลงนามการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ต่อมาประเทศไทยได้มอบสัตยาบันสารต่อผู้แทนยูเนสโก้เมื่อปี 2541 ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญาแรมซาร์ลำดับที่ 110
นอกจากนี้ ในปี 2553 ครม. มีมติรับรองข้อตกลงการเป็นพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก ออสเตรเลีย หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “Flyway Site” รวม 15 พื้นที่ แน่นอนว่า พื้นที่ นาเกลือโคกขามได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในข้อตกลงนี้ด้วย
ด้วยเหตุและผลมาทั้งหมดทั้งปวงนั้น มิได้คัดค้านหรือต่อต้านโครงการนี้แต่ประการใด หากว่ามันคุ้มค่าและสามารถแก้ปัญหาจราจรให้แก่ประชาชนได้จริง เพียงแต่ต้องการชี้ให้เจ้าภาพโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เห็นถึงผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นกับ วิถีชุมชน และ พื้นที่อาศัยของนกน้ำ ตลอดจนความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับ ประเทศชาติ จากผลพวงการฉีกทิ้งอนุสัญญาแรมซาร์ ไซต์ในบทความ ระบุ
อ่านเพิ่มเติม : วิถีชุมชน ชีวิตนกน้ำ และโครงการสะพานข้ามเจ้าพระยา 5 หมื่นล้าน
http://www.oknation.net/blog/charlee/2013/05/28/entry-2
แม้โครงการขนาดยักษ์มูลค่า 5 หมื่นล้านบาทของกรมทางหลวงชนบทที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ยังไม่มีบทสรุปที่แน่ชัดออกมาว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ แต่ความเจริญที่คนสมุทรสาครวาดฝันในวันข้างหน้า กับกระแสคัดค้านที่ส่งผผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชนและสิ่งแวดล้อม จากการทำทางยกระดับตลอด 60 กิโลเมตร ยังเป็นหนังม้วนยาวที่ต้องรอดูว่า โครงการนี้จะเกิดหรือจะแท้งก่อนเวลาอันควร.
(ล้อมกรอบ)
ถนนสหกรณ์ไปไม่ถึงสมุทรปราการ
ย้อนกลับไปในอดีต ถนนสายสมุทรปราการ-สมุทรสาคร ทางเดิมเป็นทางของ 3 จังหวัด ต้นทางจาก จ.สมุทรปราการ ช่วงกลางของ จ.ธนบุรีเดิม (ปัจจุบันเป็นกรุงเทพมหานคร) และช่วงปลายเป็นของ จ.สมุทรสาคร ระยะทาง 37.873 กิโลเมตร กรมทางหลวงรับมอบมาดูแลตั้งแต่ปี 2513 สภาพทางก่อนรับมอบ เป็นทางผิวลูกรังบางๆ บางช่วงเป็นคันดิน การจราจรผ่านไม่ได้
ต่อมาเปลี่ยนบัญชีสายทางเป็นถนนสายสมุทรสาคร-โคกขาม ระยะทาง 6.873 กิโลเมตร ได้ทำการบูรณะและปรับปรุงเป็นทางลาดยางตลอดสาย เปลี่ยนสะพานไม้ก่อสร้างเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด 5 แห่ง มีท่อเหลี่ยมคอนกรีตเสริมเหล็ก 10 แห่ง มีท่อคอนกรีตเสริมเหล็ก 14 แห่ง มีประชาชนใช้ในการสัญจรมากขึ้น ประกอบกับมีปริมาณการจราจรเพิ่มขึ้น ทำให้สภาพถนนชำรุดและเสียหายมาก
ในปี 2539 กรมทางหลวงจึงได้มีนโยบายที่จะก่อสร้างทางสายนี้ขึ้นใหม่ โดยก่อสร้างเป็นผิวทางแบบแอสฟัลต์ติกคอนกรีต กว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 1 เมตร จากกิโลเมตรที่ 0 ถึงกิโลเมตรที่ 7.130.420 ซึ่งทางบริษัท มหกิจแทรคเตอร์บริการ จำกัด เป็นผู้ประมูลได้ในวงเงินค่าก่อสร้าง 63,915,400 บาท เริ่มต้นสัญญา 12 กุมภาพันธ์ 2539 สิ้นสุดสัญญา 5 มิถุนายน 2540 แล้วเสร็จตามสัญญา
ในปี 2546 ได้โอนมอบถนนสหกรณ์โคกขาม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปบำรุงรักษา จำนวน 3 ช่วง ได้แก่ เทศบาลนครสมุทรสาคร องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางหญ้าแพรก และ อบต.โคกขาม แต่ในปี 2550 อบต.บางหญ้าแพรก และ อบต.โคกขาม ได้โอนมอบคืนถนนสหกรณ์ให้กรมทางหลวง เนื่องจากไม่มีความพร้อมเรื่องงบประมาณ โดยมีแขวงการทางสมุทรสาครรับมอบ
สำหรับถนนช่วงวัดสหกรณ์โฆสิตารามถึงนิคมบ้านไร่ เป็นทางหลวงชนบท สค.4008 ระยะทาง 8.475 กิโลเมตร โดยมีลักษณะผิวจราจรลาดยางตลอดสาย ก่อนเข้าสู่เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ มีทางแยกถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ผ่านวัดธรรมคุณาราม ข้ามสะพานคลองขุนราชพินิจใจที่กรมทางหลวงชนบทสร้างไว้ เข้าสู่พื้นที่ จ.สมุทรปราการ ต่อด้วยถนนคอนกรีตยาว 900 เมตรกระทั่งเป็นทางคันดิน
อย่างไรก็ตาม จากอดีตถึงปัจจุบันแนวถนนไม่ได้เชื่อมต่อกัน เนื่องจากติดปัญหาที่ดินของชาวบ้าน และต้องก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีก 4 แห่ง ถึงจะเชื่อมต่อกับถนนเลียบคลองสรรพสามิต ซึ่งกรมทางหลวงโอนให้เป็นทางหลวงชนบท สป.3010 ระยะทางรวม 14.520 กิโลเมตร แต่ระยะทางจริงจากถนนสุขสวัสดิ์เพียงแค่ 8 กิโลเมตรเศษ และจากสะพานข้ามคลองขุนราชพินิจใจเพียง 900 เท่านั้น
ปัจจุบันทางหลวงชนบท สป.3010 อยู่ระหว่างขั้นตอนยกถ่ายโอนให้กับเทศบาลตำบลแหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ นำไปรับผิดชอบบริหารปรับปรุงต่อไป ปลายถนนเชื่อมต่อตรงไปยังถนนคลองสวน-บ้านล่าง มุ่งหน้าออกไปถนนประชาอุทิศ บริเวณซอยประชาอุทิศ 90 แต่ไม่ได้เชื่อมต่อกับสะพานคลองขุนราชพินิจใจที่สร้างไว้แต่อย่างใด.




ผุดโปรเจ็กต์สะพานข้ามเจ้าพระยา-ท่าจีนพร้อมถนนเชื่อมเทพารักษ์-พระราม 2

กรมทางหลวงชนบทจัดการประชุมแนะนำโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน เชื่อมต่อถนนพระราม 2 ถึงถนนเทพารักษ์ สมุทรปราการ แก้ปัญหาจราจรติดขัด รองรับการเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา สำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อม 26 เดือน คาดเวนคืนที่ดิน 2-3 ปี ใช้เวลาก่อสร้าง 4-5 ปี อยู่ในแผนงานปี 2564
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่โรงแรมเซ็นทรัล เพลซ ต.มหาชัย อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร กรมทางหลวงชนบทจัดการประชุมแนะนำโครงการออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงข่ายทางสนับสนุนการเชื่อมต่อระบบขนส่งหลักของประเทศ ช่วง จ.สมุทรสาคร ถึง จ.สมุทรปราการ (สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ และถนนเชื่อมต่อ) โดยมีนายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ รองผู้ว่าราชปารจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วยนายสรชัย ศิริดาวทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทสมุทรสาคร, นายสุรพล ศรีเสาวชาติ วิศวกรใหญ่ และที่ปรึกษาโครงการ กรมทางหลวงชนบท และวิทยากรประกอบด้วย นายวินิจ เจียรสถาวงศ์ ผู้จัดการโครงการ, นายวินิจ เจียรสถาวงศ์ ผู้จัดการโครงการ และนายจารุวัตร แสงอ่อน วิศวกรงานทาง
สำหรับโครงการดังกล่าวสืบเนื่องมาจากสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินการศึกษาและจัดทำแผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเสนอให้สร้างบริเวณ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและรองรับปริมาณการเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ต่อมา กรมทางหลวงชนบท ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการดังกล่าว แล้วเสร็จเมื่อปี 2555 ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ 12/2556 เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2556 รับทราบแผนแม่บทตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร และเพื่อให้การเดินทางระหว่างพื้นที่สองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยามีความสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนินงานอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ
โดยกรมทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีแผนการดำเนินงานในระยะ 10 ปีแรก (ปัจจุบัน พ.ศ. 2564) ต่อมากรมทางหลวงชนบทได้ลงนามสัญญาว่าจ้าง กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา 5 บริษัทประกอบด้วย บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่งคอนซัลแต้นส์ จำกัด บริษัท เอพซิลอน จำกัด บริษัท วิชชากร จำกัด บริษัท พรี ดีเวลลอปเมนท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด ให้ดำเนินการโครงการออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2557 สิ้นสุดโครงการ ในวันที่ 8 ธันวาคม 2559
โครงการดังกล่าวจะเป็นทางยกระดับ 6 ช่องการจราจร ตัดผ่าน 3 จังหวัด 5 อำเภอ 20 ตำบล แนวเส้นทางของโครงการมีระยะทางรวมทั้งสิ้น 60 กิโลเมตร โดยแบ่งได้เป็น 3 ช่วง คือ เริ่มจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) บริเวณก่อนถึงทางแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 375 (ถนนบ้านแพ้ว-พระประโทน) หลังจากนั้นแนวเส้นทางจะข้ามคลองสุนัขหอน และข้ามทางรถไฟสายบ้านแหลม แม่กลอง แล้วเลี้ยวซ้ายตัดผานพื้นที่ทำนาเกลือ พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และพื้นที่เกษตรต่างๆ ก่อนที่จะข้ามแม่น้ำท่าจีน บริเวณข้างป่าชายเลนของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน จ.สมุทรสาคร แล้วจึงเลี้ยวขวาจนถึงจุดสิ้นสุดโครงการ ช่วงที่ 1 ซึ่งจะศึกษาการเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3423 (ถนนสหกรณ์-โคกขาม) ทั้งหมดรวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 15 กิโลเมตร ประกอบด้วยสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน 1 จุด และทางเชื่อมต่างระดับ 3 จุด ได้แก่ ทางแยกต่างระดับถนนพระราม 2, ทางขึ้น-ลงท่าฉลอม และทางแยกต่างระดับมหาชัย
ช่วงที่ 2 จะเริ่มจากจุดเชื่อมต่อกับถนนสหกรณ์ แนวเส้นทางจะขนานกับคลองพิทยาลงกรณ์ หรือคลองสรรพสามิต โดยจะอยู่ด้านทิศใต้ของคลอง ระยะห่างประมาณ 350 เมตร แนวเส้นทางจะเป็นเส้นตรงพาดผ่านพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและพื้นที่นาเกลือของ ต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร, แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และ ต.บ้านสวน ต.นาเกลือ ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ จนถึงจุดสิ้นสุดโครงการ ช่วงที่ 2 ซึ่งที่ปรึกษาจะศึกษาการเชื่อมต่อกับถนนประชาอุทิศ วัดคู่สร้าง ทั้งหมด รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 27 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางเชื่อมต่างระดับ 2 จุด ได้แก่ ทางแยกต่างระดับ บางขุนเทียน-ชายทะเล และ ทางแยกต่างระดับวัดคู่สร้าง
ช่วงที่ 3 เริ่มจากจุดเชื่อมต่อถนนประชาอุทิศ วัดคู่สร้าง แล้วข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณด้านหนึ่งของกองเรือทุ่นระเบิด ผ่านถนนท้ายบ้าน วัดอโศการาม ถนนสุขุมวิท ถนนแพรกษา จนถึงจุดสิ้นสุดโครงการ ช่วงที่ 3 ที่ถนนเทพารักษ์ ซึ่งที่ปรึกษาจะศึกษาการเชื่อมต่อกับถนนบางนา-ตราด ทั้งหมด รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 20 กิโลเมตร ประกอบด้วยสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 1 จุด, ทางเชื่อมต่างระดับ 4 จุด ได้แก่ ทางแยกต่างระดับสุขุมวิท, ทางแยกต่างระดับแพรกษา, แนวเชื่อมต่อวงแหวนด้านใต้ (สุขสวัสดิ์-บางพลี) และทางแยกต่างระดับถนนเทพารักษ์
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีระยะเวลา 26 เดือน โดยจะดำเนินงานสำรวจและออกแบบเบื้องต้น 4 เดือน งานศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม 15 เดือน งานสำรวจและออกแบบรายละเอียด 18 เดือน และงานสำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์เบื้องต้น 6 เดือนสุดท้าย โดยจะมีการจัดประชุมปฐมนิเทศโครงการในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 การประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2558, การประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนธันวาคม 2558 และการประชุมปัจฉิมนิเทศโครงการ ในช่วงเดือนมีนาคม 2559 โดยมีมูลค่าก่อสร้างประมาณ 5 หมื่นล้านบาท หากดำเนินการก่อสร้างจะใช้เวลาเวนคืนที่ดินประมาณ 2-3 ปี และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4-5 ปี
ด้านประชาชนที่เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นพอใจในโครงการถนนสายดังกล่าว เนื่องจากถนนสายหลักในสมุทรสาครมีน้อย สวนทางกับการจราจรและความหนาแน่นของชุมชนมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้เข้าร่วมประชุมบางรายแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันไป อาทิ ปัญหาถนนยกระดับนั้นมีความสูงเพียง 2.5 เมตร บางรายเสนอให้สร้างทางยกระดับข้ามวัดเจษฎาราม บางรายเสนอให้รูปแบบสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนมีความสวยงามเหมือนแม่น้ำเจ้าพระยา บางรายเสนอให้จุดเริ่มต้นโครงการอยู่ที่บริเวณแยกถนนบ้านแพ้ว-พระประโทน ต.บ้านบ่อ และบางรายแสดงความสงสัยว่าทำไมจุดสิ้นสุดโครงการอยู่ที่ถนนเทพารักษ์ เนื่องจากจุดดังกล่าวการจราจรติดขัด เป็นต้น
สาครออนไลน์ โดย สุรางค์ นาคทอง

    นิคมอุตสาหกรรม เมืองมหาชัย
แผนการตลาดสู่ ความเป็นผู้นำ การค้า ด้านโรงงานอุตสาหกรรม

                        การกำหนดแผนการโฆษณา - ประชาสัมพันธ์                           


2.1      วางแผนโฆษณา – ประชาสัมพันธ์ เพื่อปลุกกระแสกำลังซื้อโดยผ่านสื่อต่าง ๆ
2.2      จัดทำแผนประชาสัมพันธ์โครงการให้ให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและได้ผล
2.3      ไดเร็คเซลล์สู่กลุ่มเป้าหมาย
2.4       ดูแลสื่อโฆษณาทาง INTERNET ผ่านเว็บไซต์ ต่างๆ
2.5      กระจาย link ไปที่สื่ออื่นๆ เช่นตามเว็บต่างๆ และใน Google
2.6      วางแผนจัดทำป้ายโฆษณา และป้ายบอกทางตลอดเส้นทางหลัก และเส้นทางรอง(ซอย)ทั้งหมด
2.7      จัดทำป้ายยินดีต้อนรับและติดต่อสำนักงานขาย
2.8      จัดทำใบปลิว / แผ่นพับ แจกตามละแวกใกล้เคียงที่เป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
2.9       ออกบูธตามห้างสรรพสินค้าใกล้เคียงโครงการและกลุ่มเป้าหมาย
2.10    ลงโฆษณาในสื่ออื่น ๆ ตามความเหมาะสม เช่น สื่อทางอินเตอร์เน็ต วารสารต่างๆ






















ช่องทางการทำการตลาด


ผังเมือง สมุทรสาคร (เดิมที่หมดอายุ )




ช่องทางการทำการตลาด เพื่อส่งเสริมความต้องการบ้านจัดสรรแก่ลูกค้าเป้าหมาย


ผู้ประกอบการ


พนักงาน


ความสำเร็จของบริษัท


การตัดสินใจซื้อ


ผู้บริโภค


การทำการตลาดแบบ IMC
-          การโฆษณา (Advertising)
-          การประชาสัมพันธ์ (Public Relation)
-          ป้ายบอกทาง (Signage)
-          Internet
-          การจัดกิจกรรมพิเศษ (Event Marketing) เช่น การออกบูธการจัดงานปาร์ตี้ เป็นต้น
-          การส่งเสริมการขาย (Promotion)
-          Direct Marketing
-          SMS ข้อความสื่อสารทางโทรศัพท์เคลื่อนที่
-          การบริการ
-          อื่นๆ


ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจด้วยการทำการตลาดแบบครบเครื่อง


Ø    การโฆษณา (Advertising)
                สื่อโฆษณา(Advertising) เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้ลูกค้ารู้จักในเรื่องของแบบบ้าน ราคา    ที่ตั้งของโครงการ โดยการเลือกใช้สื่อนิตยสาร คือ ลงสื่อ -วัฎฏะวัฏสารตลาดบ้านบ้านพร้อมอยู่วารสาร  อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จะคัดเลือกสื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป

Ø    ป้ายบอกทาง
                ใช้การตลาดเชิงกว้าง รายละเอียดของป้ายจะเน้นข้อความ และสีสันของป้ายใช้เป็นจุดสนใจต่อผู้พบเห็นให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น จัดทำป้ายริมทางเสริมตามเส้นทางที่ไม่มีป้ายลงและเป็นจุดที่น่าจะดึงดูดลูกค้า โดยการลง Promotion และ/หรือ ข้อความต่างๆเป็นการสร้างจุดสนใจและทำการประชาสัมพันธ์ตลอดเส้นทางที่มุ่งสู่โครงการ   โดยทำการติดตั้งป้ายในเขตเส้นทางต่างๆ

Ø    ป้ายไวนิล
                ติดตามร้านค้า  และรถโดยสารประจำทาง ทั้งนี้เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและสร้างความถี่ในการพบเห็นของกลุ่มเป้าหมาย

Ø    การตั้งกล่องแจกแผ่นพับตามสถานที่ราชการ
                ตามสถานที่ราชการ ธนาคารโรงพยาบาลเอกชนต่าง ๆ และบริษัทเอกชน

Ø    ไดเร็กเซลส์
                แจกใบปลิวกลุ่มเป้าหมายต่อเนื่องทุกๆสัปดาห์ โดยมีช่องทางดังนี้ เน้นแจกตามหมู่บ้านต่าง ๆ,บริษัทเอกชนสถานที่ราชการ โดยใช้การทำหนังสือให้ลูกค้าในโครงการแนะนำเพื่อนหรือญาติมาซื้อบ้านจากโครงการจะได้ค่าแนะนำโดยจะแบ่งตามระดับมูลค่าสินค้าและเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง  Promotion  ใหม่ หรือมีส่วนลดเงินสดจะสามารถแจ้งให้ลูกค้าทราบได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตลาดแบบแฝงตัวตามงานเพื่อลูกค้าจะได้รับทราบอย่างทั่วถึง 

Ø    SMS ข้อความสื่อสารทางโทรศัพท์เคลื่อนที่
                ส่ง SMS แจ้งข่าวสารต่างๆจากบริษัทฯ ส่งตรงถึงลูกค้าอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นความต้องการของผู้ซื้อ

Ø    การจัดกิจกรรมพิเศษ (Event Marketing)
                การออกบูธบริเวณโดยรอบสถานที่ตั้งโครงการ อาทิ ศูนย์การค้าต่างๆ ,ส่วนราชการ และ บริษัทเอกชนที่มีกลุ่มเป้าหมายของโครงการอยู่

Ø    ลูกค้าเก่าแนะนำลูกค้าใหม่


Ø     PROMOTION 
                ส่วนลดเงินสด/ของแถม/ค่าแนะนำ และ/หรือรับของกำนัล ฯลฯ

Ø    INTERNET

                ลงโฆษณาผ่านทางสื่อ INTERNET ผ่าน Domain name เป็นของบริษัทฯ FaceBook และช่งทาง Social อื่นๆ


                      
                             ควบคุมแผนการ โดย ดร.สมัย เหมมั่น  CEO แผนธุรกิจ

 MAHACHAI INDUSTRIAL CITY


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น